วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตที่ไม่รีบร้อนกับกาแฟร้อนหนึ่งถ้วย


ชีวิตที่ไม่รีบร้อนกับกาแฟร้อนหนึ่งถ้วย
หลายคนทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ ก็อยากจะหาเวลาพักจากการทำงาน
หลายคนมีวิธีพักที่แตกต่างกันไป อาทิ

" นั่งอ่านหนังสือที่โปรดปราน หรือ หนังสือที่ซื้อมาแต่ไม่เคยแกะออกจากห่อพลาสติก "

" ดูหนังฟังเพลง ดูมิวสิกวีดีโอ เพลิดเพลินกับการเสพสิ่งบันเทิงที่มีการเคลื่อนไหว "

"  ออกเดินทาง ไปอยู่ในสถานที่แปลกใหม่ ผู้คนแปลกตา และบรรยากาศที่น่าแปลกใจ "

" ออกไป Shopping จับจ่ายใช้สอย เงินที่หามาได้ เพื่อแลกกับสิ่งที่ต้องการ "

" นัดเจอเพื่อนฝูง นัดทานข้าวและหากิจกรรมทำกัน เพื่อความสนุกสนานต่างๆ "

" ไปวัด ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ ทำบุญ รื่นเริงในการพัฒนาทางจิตใจ "

" หยุด อยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น หรือเรียกว่า นั่งหายใจเล่น "

จริงๆ ยังมีอีกมากมายที่แล้วแต่คนๆนั้น จะชอบและอยากทำ
 แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่อยากจะขอเล่าในที่นี้ ก็คือ 

" การนั่งจิบชากาแฟร้อนๆ สักถ้วยหนึ่ง "

แน่นอนว่า มันเป็นกระแสสังคมไปช่วงหนึ่ง กับคำว่า " Slow Life " หรือ " Hipster "
 
 นั่นคือ การที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งชื่นชอบการทานการแฟและการพักผ่อนในร้านกาแฟ
กลายเป็นกระแสฮิตของสังคม หลังจากการที่มีการเปิดร้านกาแฟในประเทศของเรามากขึ้น
อาจจะเพราะกระแสของหนังและภาพยนต์ อาทิ Coffee Prince 
 และอาจจะเพราะ การที่สังคมเมือง ไม่ค่อยมีที่ที่ใช้สำหรับการพักผ่อนแบบเป้นส่วนตัวเท่าไร
ร้านกาแฟ จึงเป็นคำตอบ ที่เกิดขึ้น จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

แล้ว ชีวิตที่ไม่รีบร้อนกับกาแฟร้อนหนึ่งถ้วย ที่กล่าวถึงมันเป็นยังไง
แน่นอนว่า กาแฟร้อน มันไม่สามารถที่จะยกดื่มให้หมดได้ในคราวเดียว
เพราะมันอาจจะร้อนจนลวกปากของเราได้
ดังนั้นเราจึงต้องค่อยๆจิบมัน 
และเมื่อเราค่อยๆจิบกาแฟร้อน เราก็จะต้องใช้เวลาในร้านกาแฟอยู่ระยะเวลาหนึ่ง
ทำให้เหมือนกับว่า ชีวิตที่รีบเร่งและมีแต่การแข่งขันรอบๆตัวของเรา
มันเริ่มหมุนช้าลงไปบ้าง ตามการค่อยๆจิบกาแฟร้อนแก้วโปรด

นั่นเอง เลยทำให้ชีวิตที่รีบเร่งในสังคมที่แข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ถูกทำให้ช้าลงบ้าง โดยการต้องรอให้ทานกาแฟร้อนจนหมดแก้ว

บวกกับ การที่ร้านกาแฟสมัยนี้ จะต้องติดแอร์ มีเพลงเบาๆ และมีอินเตอร์เนทให้เราเล่น
เราก็เลยใช้เวลาไปกับพวก Social Media เพื่อผ่อนคลายเพิ่มเติมไปอีก
บวกทั้งการแชร์รูปถ่าย ชุดกาแฟและขนมนมเนยที่หน้าตาน่าทานในโลก Social
ก็เพิ่มความเพลิดเพลิน และเป็นการทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่ได้โดดเดี่ยวในโลกใบนี้
ซึ่งพอเล่นไปมากๆ กลับกลายเป็นเรา เสพติด การเล่น Social จนเกินไป
และเริ่มไม่สนใจคนที่อยู่ร้อบข้าง คนที่มีตัวตนรอบกาย คนที่ผ่านไปผ่านมา

ท้ายสุดนี้ ไม่มีข้อสรุปประการใดเกี่ยวกับโลก Social หรือ โลกเสมือนจริง
แต่สรุปได้อย่างหนึ่งว่า คนเราต้องการความสุข 
และสิ่งใดที่ทำให้เขามีความสุข พวกเขาก็จะถวิลหาสิ่งนั้นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ขอให้เพื่อนๆที่อ่านบทความของผม ใช้ชีวิตด้วยสติและความไม่ประมาททอญ
- Doctor Y -

 

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก ลดทอนสิ่งที่ซ้ำซ้อนลง


หลังๆมานี้ ผมโดนอิทธิพลจากชายผู้นี้ครอบงำพอสมควร
ไม่น่าเชื่อว่า ถึงแม้ อ.ถวัลย์ ดัชนี จะเสียไปแล้ว แต่อิทธิพลของแนวคิดของท่าน
กลับดังก้องสะท้อนอยู่ในห้วงคำนึงของผม อยู่เป็นเนืองๆ

จากการที่ได้ชมผลงานศิลปะที่ท่านได้สร้างขึ้นมา
ผมได้เห็นวิวัฒนาการของความทำทุกสิ่งให้ง่ายขึ้น

จากประสบการณ์และความรู้ที่มีมาดั้งเดิมเกี่ยวกับงานศิลปะของผม
งานศิลปะนั้นต้องทำอย่างปราณี ละเมียดละมัย ใช้เวลาในการสร้างสรรค์พอสมควร

แต่สิ่งที่ผมได้เห็นกับตาตัวเอง ทำให้ต้องตกใจมาก
นั่นคือ อ.ถวัลย์ ดัชนี สามารถสร้างงานศิลปะจากภาพวาดเพียงไม่กี่นาที
แต่ท่านชอบพูดว่า ต้องใช้เวลาเพียงหน่วยวินาทีเท่านั้นเอง 
ตามคอนเซปว่า "กระซวก" มันออกมา 

เป็นการตวัดแปรงด้วบความคล่องแคล่ว แม่นยำ มีพลัง ครั้งเดียวจบ
และผลงานที่ออกมาก็สวยงาม สวยกว่าผมตั้งใจวาดตั้งนานเลย

เพราะ การตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป และลดความซ้ำซ้อนลง
 อ.ถวัลย์ ท่านไม่จำเป็นต้องระบายสีในภาพ ใช้แค่สีดำกับแปรง 2 ขนาดเท่านั้น
ภาพออกมาแบบมีการเคลื่อนไหว ไดนามิก และความมีพลังที่ชัดเจน

นี่คือเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง
เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มันซ้ำซ้อนและยุ่งยาก
คนที่เข้าใจในเรื่องนั้นๆอย่างถ่องแท้แล้ว
จะอธิบายและทำมันออกมาอย่างง่ายดายและเรียบง่ายธรรมดาที่สุด


วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

มหาลัยชีวิต ตอน ปรัชญาหมูกระทะบุฟเฟ่


ปรัชญาหมูกระทะบุฟเฟ่

วันนี้ DoctorY ได้ไปทานหมูกระทะบุฟเฟ่มา โค-ตะ-ระ อิ่ม 
จุกแน่นขึ้นมาเปรียบเปรยได้ว่า "ขึ้นมาจนเกือบจะถึงลิ้นไก่"

อยู่ๆปรัชญาการดำเนินชีวิตที่เกี่ยวของกับหมูกระทะก็พรั่งพรูขึ้นมาตามปริมาณอาหาร

กลั่นออกมาเป็นปรัชญา (จาก) หมูกระทะบุฟเฟ่ 10 ข้อ 
 1. จงตักแต่พอดี ถ้าเกินพอดี จะเสียค่าปรับ
เห็นทุกที่เลย จะมีป้ายเตือน ไม่ให้เราตักอาหารเยอะเกินไป
ทานไม่หมด ปรับ xxx บาท ทั้งตัวอาหารเอง หรือ แม้แต่น้ำจิ้ม
ซึ่งการเขียนไว้ก่อนแบบนี้ จะช่วยให้ลูกค้าบางคนระวังไม่ตักมากเกินไป
เพราะบางคนอาจจะไม่ทันคิด ตักมาจนทานไม่หมดจริงๆ
เปรียบกับชีวิตจริง การทำอะไรเกินพอดี ย่อมมีค่าปรับที่ต้องจ่ายสักอย่างหนึ่งเสมอ
ดังนั้น เราต้องคิดก่อนจะทำอะไรไป เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกินคำว่าพอดีไป

2. เลือกทำเลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
 การเลือกที่นั่งในการรับประทาน มีผลต่อความสุขในการทาน
ถ้าเลือกที่นั่งที่ใกล้แหล่งตักอาหาร เราก็จะไม่ต้องเดินไกลเกินไป
ถ้าเลือกที่นั่งที่เป็นทางเดินคนอื่น อาจจะรำคาน คนเดินผ่านโต๊ะเราบ่อยๆ
ถ้าเลือกที่นั่งลึกลับซ่อนมุมเกินไป พนังงานเสริฟก็จะไม่ค่อยเดินผ่าน สั่งอะไรไปก็จะยากหน่อย
เปรียบกับชีวิตจริง การเลือกทำเลดี มีผลอย่างยิ่งต่อการทำมาค้าขาย
เพราะ คนเรามักจะเอาอะไรที่ง่ายและสะดวกสำหรับเขาก่อนเสมอ

3. มาไวกว่า ย่อมได้กินอาหารที่สดใหม่ และหลากหลายกว่า
 หลายๆครั้ง พวกอาหารบางอย่างเขาจะเอาเสริฟแค่ช่วงแรกๆเท่านั้น
พอของหมดก็จะไม่ยกมาเสริฟเพิ่มเติม 
ดังนั้นการไปที่ร้านบุฟเฟ่ ไวกว่าคนอื่นๆ ก็มักจะได้อาหารที่ครบครัน
และสดใหม่กว่าคนที่มาช่วงหลังๆ 
เปรียบกับชีวิตจริง การเริ่มทำอะไรก่อนคนอื่น มักจะมีความได้เปรียบในตลาดมากกว่า
ยิ่งทำไว คู่แข่งก็ยังไม่ค่อยมี การเปรียบเทียบก็ยังไม่เยอะ 
จึงมีโอกาสในการประสบความสำเร็จที่สูงกว่า การเข้าไปในตลาดที่เริ่มอิ่มตัวแล้ว

4. กินคนเดียว กินไวอิ่มไว กินกับเพื่อน กินช้าแต่สนุก
 สังเกตมาหลายครั้งละ คนที่ไปกินหมูกะทะส่วนใหญ่มักจะไปกันหลายๆคน
นั่นเพราะ การไปทานบุฟเฟ่ ถ้ามีเพื่อนไปด้วย จะสนุกในการทานมากกว่า
แต่สิ่งที่พบเจอ คือ กินคนเดียว กินได้เยอะ ตักได้ไว แต่นั่งได้ไม่นาน
กินกับเพื่อน กินได้ไม่เยอะ ตักช้า ข้อห้ามเยอะขึ้น แต่นั่งทานได้นานกว่า
เปรียบกับชีวิตจริง การทำอะไรคนเดียว จะคล่องแคล่วว่องไว ปรับเปลี่ยนได้ง่าย 
แต่จะเหนื่อยและทำนานๆไม่ได้ เมื่อไม่ว่างก็ไม่มีคนทำแทน
การทำอะไรเป็นทีม ชักช้า เคลื่อนไหวยาก ปรับเปลี่ยนลำบาก
แต่จะไม่เหนื่อยเท่าคนเดียว สามารถทำได้นานๆ และมีคนมาทำแทนเมือไม่ว่าง

5. การมีของให้เลือกหลายอย่างมากเกินไป เราจะกินสิ่งที่ชอบจริงๆได้น้อย
การที่เรามีของให้เลือกมากเกินไป เราจะอยากลองให้หมดทุกอย่าง
เมื่อเราลองจนครบ เราก็จะเริ่มอิ่มๆละ ทำให้ทานสิ่งที่เราชอบจริงๆ
สิ่งที่เราตั้งใจจะกินแต่แรก ได้น้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เปรียบกับชีวิตจริง  การที่เราทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีการโฟกัส
พลังงาน ความมุ่งมัน สติ และอีกหลายๆอย่าง มันจะเริ่มลดน้อยลงไป
จนเมื่อเราจะทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ร่างกายก็หมดสภาพไปก่อนละนั่นเอง

6. อย่าทานเยอะเกินไป เพราะเราจะเบื่อในสิ่งนั้นๆได้
 การทานเยอะเกินไป แม้จะเป็นในสิ่งที่เราชอบก็ตามที เราอาจจะเบื่อมันก็ได้
คำว่า "จำเจ" หรือ "routine" เป็นสิ่งที่พบเจอกับการทานบุฟเฟ่อย่างเลี่ยงไม่ได้
ผมเองยังเคยตักแต่เนื้อหมูหมักมาอย่างเดียว กินอย่างเดียว จนเอียนไปเลย
แรกๆก็อร่อย เพราะเป็นของที่ชอบ หลังๆเบื่อหมูไปเลยพักใหญ่
เปรียบกับชีวิตจริง การที่เราทำแต่สิ่งเดิมๆ ไม่มีการพัฒนาหรือทำให้ดีขึ้น
ไม่ใช่เพียงแต่ลูกค้าที่รับสินค้าเรา ตัวผู้ผลิตเองก็จะเริ่มเบื่อในการทำ
และเริ่มหมดสนุกในการทำมัน ไม่แปลกเลยที่สินค้าหลายๆตัวมีการพัฒนารุ่นใหม่มาเสมอ

7.  การกินสิ่งที่อยู่นอกบุฟเฟ่ มันต้องเสียตังค์เพิ่มนะ
 การสั่งเมนูอื่นที่น่ากิน หรือพิเศษหน่อย ของเหล่านั้นมักจะอยู่นอกรายการบุฟเฟ่
และมักจะต้องเพิ่มเงินจากราคาบุฟเฟ่เมื่อเราต้องการจะกินมัน
เปรียบกับชีวิตจริง การเพิ่มออฟชั่นพิเศษ เป็นฟังก์ชั่นเสริม
จะสามารถเพิ่มยอดขายสินค้าเราได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างวิธีนี้ เช่น การเพิ่มขนาดสินค้า พวกเฟรนฟราย เป็นต้น

8. เมื่อหมดไฟ ต้องรีบเติม เดี๋ยวขาดตอน
 การกินหมูกะทะ ความเร็วในการปิ้งย่าง คือ ความร้อนจากเตาถ่าน (พบเห็นได้ทั่วไป)
น้อยร้านจะใช้เป็นเตาแก๊ส เพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่านั่นเอง
การใช้เตาถ่าน เมื่อถ่านเริ่มมอด มันก็จะร้อนน้อยลง เพนื้อปิ้งก็จะสุกช้าลง
ถ้าเราไม่เติมถ่าน เราก็จะใช้เวลาปิ้งต่อชิ้นนานขึ้นทำให้ขาดตอนความสนุกได้
เปรียบกับชีวิตจริง  การหมดไฟ หรือกำลังใจ จะทำให้การทำงานด้อยประสิทธิภาพลงไป
เราต้องเติมไฟให้ตัวเองอยู่เสมอ เพราะมันมอดได้ตลอดเวลา
เพื่อจะได้ทำงานต่อไป ได้อย่างเต็มที่ สุดกำลัง

9. ถ้าเราทำไรแล้วไม่สนใจ เนื้อปิ้งจะไหม้เสียหายได้
บางที เราปิ้งไปคุยไป คุยเพลินไป ลืมพลิกเนื้อ มันก็อาจจะไหม้ได้
และมักจะเกิดขึ้นเสมอๆ ในการทานหมูกระทะบุฟเฟ่ ใครไม่ไหม้เลยถือว่าเทพมากครับ
เปรียบกับชีวิตจริง การที่เราปล่อยปละละเลยอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้
ถ้าเราไม่สนใจในงาน ก็อาจจะทำให้งานเสียหาย และเกิดปัญหางานงอกได้

10. นอกจากปิ้งแล้ว การต้มก็ทำให้เราได้กินเนื้อ (หาช่องทางรายได้เยอะๆ)
 จะสื่อว่า การทำให้เนื้อสุก ไม่ได้มีแค่วิธีปิ้งวิธีเดียว
เมื่อมันมีคนกินเยอะ การปิ้งอาจจะไม่ทันท่วงที 
การมีทางเลือกอื่นเช่นการต้ม ก็จะช่วยเพิ่มเนื้อที่สุกพร้อมรับประทานได้
เปรียบกับชีวิตจริง การมีช่องทางรายได้มากกว่าหนึ่งทาง
ย่อมดีกว่าการหวังแค่รายได้จากทางเดียว ยิ่งมีเยอะยิ่งดีกว่านะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

เรื่องสุดคลาสสิค No.2



วันนี้จะมาเล่าเรื่องสุดคลาสสิคอีกเรื่องหนึ่ง ที่ได้ฟังมานานละเช่นกัน
ณ โรงงานผลิตสบู่ ประเทษเยอรมัน
มีปัญหาเรื่องการที่สินค้าบางกล่องไม่มีตัวสบู่บรรจุด้านใน
ทีมงาน QC ก็ได้คิดวิธีในการตรวจสอบอย่างหนัก
เกี่ยวกับปัญหาเรื่องการหากล่องที่ไม่มีสบู่อยู่ด้านใน
โดยการได้จัดตั้งทีมพิเศษเพื่อทำการศึกษาปัญหา
และพัฒนา+ค้นคว้าวิธีการที่จะตรวจสอบว่ากล่องไหนที่ไม่มีสบู่
แล้วก็คิดค้นเครื่อง scan โดยใช้รังสีแบบพิเศษ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ในสมัยนั้น
ใช้เวลาในการแก้ปัญหาทั้งหมดร่วมหกเดือน

ปัญหาเดียวกันนี้ ที่โรงงานของประเทศจีน 
ใช้วิธีเอาพัดลมกำลังแรงมาเป่าที่สายลำเลียงช่วงสุดท้าย
กล่องไหนที่ปลิวแสดงว่าไม่มีสบู่ด้านใน

 เรื่องมันก็จบเพียงเท่านี้ กึ่งๆการสอนแบบเซนเลยครับผม
แต่เข้าใจหลักการได้ชัดเจนแจ่มแจ้งมาก

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรื่องสุดคลาสสิค No.1


วันนี้จะมาเล่าเรื่องสุดคลาสสิคเรื่องหนึ่ง ที่ได้ฟังมานานละ
องค์การนาซ่า ที่สามารถส่งคนขึ้นไปเหยียบผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ
ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องการเอาปากกาไปเขียนในสภาพที่ไร้แรงโน้มถ่วงไม่ได้
นาซ่าเลยทำการวิจัย ทุ่มงบประมาณจำนวนมากเพื่อพัฒนา
ให้สามารถใช้ปากกาบนยานอวกาศในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงได้

ปัญหานี้นักบินอวกาศของประเทศรัสเซีย
แก้ไขโดยการเอาดินสอขึ้นไปเขียนแทน

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้ยากมากมายนัก
บางอย่างถ้ามันมาถูกทาง มันก็ง่ายๆแค่นี้เอง

Dr.Y

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

จีบสาว ... ทำยังไงดีว้าาา

Copyright Reserved by Dr.Y

หนึ่งในปัญหาชีวิตของลูกผู้ชาย ก็คือ  

การจีบสาว

 หลายคน พลาดโอกาสในการได้รู้จักกับผู้หญิงสักคนหนึ่ง 
ทั้งที่เราอาจจะชอบเธอ หรือ แค่รู้สึกดีๆด้วยแค่นั้นก็ตามที
แต่เพราะ เมื่อเราเจอคนที่เราหมายปอง เราจะกลัวการผิดหวัง แล้วจะไม่เริ่มทำอะไร
จนสุดท้ายแล้ว เธอก็เดินจากไป หรือ มีไอ้หนุ่มหน้ามนมาจีบเธอแทนเราซะงั้น

 วันนี้ Dr.Y จึงจะมาแนะนำวิธีง่ายๆ เพื่อแก้ปัญหาการจีบสาวที่แสนจะยากเย็น
เอาวิธีการไปลองทำดูนะครับผม

3 วิธีง่ายๆ เพื่อทำให้สาวที่หมายปองรู้สึกดีกับเรา

1. เริ่มจากยิ้ม (Just Smile)
การยิ้ม เป็นการเปิดประตูหัวใจ และ ละลายกำแพงที่มองไม่เห็น
ไม่มีใครไม่ชอบคนที่ยิ้มให้กับเขาหรอก แต่ควรยิ้มพอประมาณ
ไม่ใช้ยิ้มอยู่นั่น ยิ้มและจ้องไม่ทำอย่างอื่น ยิ้มเป็นชั่วโมง
เขาจะหาว่าคุณบ้า หรือเป็นโรคจิตเอาได้นะครับผม

ฝากไว้สำหรับเรื่องการยิ้ม
วิธีนี้ทำได้ง่ายๆ ไม่มีค่าใช่จ่ายอะไรด้วย 
แล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมทำกันละครับผม

+++++++++++++++++++++++++++++++++

2.  ปรับเปลี่ยนการแต่งตัว
ผู้ชายหลายคน ชอบใส่ชุดที่สบายๆ เช่น ชุดกีฬาบ้าง เสื้อยืดเกงขาสั้นบ้าง
และหลายๆครั้งก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่อง การดูดี อะไรสักเท่าไร
ผมขอบอกได้คำเดียวเลยว่า 
"คุณกำลังพลาดอย่างแรง"
การแต่งกายที่ง่ายๆและดูดี ควรเน้นไปที่เรื่อง 
"ความสะอาด" และ "ความถูกกาละเทศะ"

ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ต้องใส่ชุดแบรนด์เนมอะไรเลย แค่แต่งให้ดูเหมาะสมก็พอ
ไม่จำเป็นต้องตามเทรนด์แฟชั่นอะไร ขอแค่ดูดีหน่อย และดูสะอาดสะอ้าน ก็เพียงพอ
เรื่องผมเผ้าก็ควรหวี หรือ ทำให้เป็นทรงที่ดูไม่รกรุงรังจนเกินงาม
เรื่องหนวดเคราก็ควรตัดควรโกนถ้ามันยาวรุงรัง หรือไม่ก็แต่งให้ดูสวยงาม
เรื่องเล็บมือเล็บเท้า ก็ควรตัดให้สั้น ไม่ต้องไว้ยาวหรอกนะ มันไม่เหมาะกับผู้ชายเรา
เรื่องน้ำหอม เอาแค่พอดับกลิ่นเหงื่อ ถ้าคุณตัวไม่เหม็น ทาแป้งก็พอแล้วละครับผม
เรื่องเครื่องประดับ อาจจะมีนาฬิกาสักเรือนก็เพียงพอ ไม่ต้องใส่ทองหยิบทองหยองอะไรก็ได้
แต่ถึงจะไม่มี ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะ เวลาคุยกันเขามองที่หน้าไม่ได้มองที่มือ ^^

สุดท้ายฝากไว้สำหรับเรื่องการแต่งตัว
การแต่งกายมันเป็นการสะท้อนสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเราเอง
คนอื่นจะมองเห็นเราจากภายนอกเป็นอันดับแรกเสมอและทุกคนด้วย
ดังนั้น เรื่อง First Impression จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีล้าสมัยอย่างแน่นอน
การแต่งตัวดี มันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเราได้ทางหนึ่ง

+++++++++++++++++++++++++++++++++

3. เข้าไปทัก 
เทคนิคสุดท้าย การทักทาย เป็นสิ่งที่ต้องกระทำโดยทั้งหมดทั้งสิ้น
ถ้าเราอยากจะเพิ่มระดับความสัมพันธ์กับใครสักคน ก็ต้อง ไปพูดคุยกับเขา

แน่นอนว่า ถ้าเป็นคนที่เราชื่นชอบ เราอาจจะประหม่าและกลัวนั่นนี่นู้น
สุดท้ายเค้าก็เดินจากไป แล้วเราก็นั่งเสียดายและเข้าสู่วัฏจักรเดิมของเราต่อ
เมื่อเราเจอคนใหม่อีก เราก็จะทำแบบเดิมอีก กลัวนั่นนี่นู้น แล้วเธอก็ไป

เมื่อสบตากัน และเรายิ้มทักทายไปแล้ว อย่ารอให้นานเกิน 5 นาที
คุณต้องเข้าไปทักทายเธอ  ไม่เช่นนั้น ก็จะเป็นการยากแล้วละ

นั่นเพราะ 5 นาที เป็นช่วงเวลาที่เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรมากมาย
การเข้าไปทักในระยะเวลาที่ไม่นานนักจะทำให้เธอไม่ทันได้ตั้งกำแพงให้สูงเท่าไร

การเข้าไปทักควรเริ่มที่ประโยคง่ายๆ ไม่ซับซ้อนและไม่จู่โจม
ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่สามข้อ
 
1. พูดตรงๆไปเลย
"สวัสดีครับ ผมชื่อ XXX อยากรู้จักนะครับ"

2.  ถ้าเธอใส่นาฬิกา
"สวัสดีครับ ตอนนี้เวลากี่โมงแล้วครับ"

3. ขอความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ
"สวัสดีครับ ห้องน้ำไปทางไหน"

หลังจากทักทายกันแล้ว อาจจะขอเบอร์ Line หรือ Facebook กันก่อนก็ได้ เพื่อไม่น่าเกลียดเกินไป
ค่อยๆคุยและทำความรู้จักกัน 
ถ้าเกิดคนนี้ใช่ ก็ค่อยสานต่อ แต่ถ้าเป็นแค่เพื่อนก็พอก็ ก็ไม่มีอะไรเสียนี่ครับ
การเข้าไปทัก ถ้าเธอไม่สนใจเราเธอก็จะปฏิเสธเลย จะได้ไม่เสียเวลากันทั้งคู่
และเราก็ไม่ต้องมานั่งเสียดาย ผิดหวัง ว่าทำไมไม่ยอมทำอะไรเลย

ลองไปทำกันดูนะครับผม เรื่องจีบสาว ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยเห็นไหม
เรื่องเทคนิคอื่นๆ จริงๆมันยุ่งยากเกินไป จะเป็นการเพิ่มความยุ่งยากในชีวิตเกินไป
ส่วนเทคนิคชั้นสูง เอาไว้บทความต่อๆไปจะมานำเสนอกันอีกทีนะครับ 

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

10 Tecniques การมองทุกสิ่งให้ง่าย by Dr.Y



Top 10 Techniques to make everything easy by Dr.Y
 (10 เทคนิค การมองทกสิ่งให้ง่าย by Dr.Y)



1. Start at Positive attitude. You can do everything
    (เริ่มโดยการมีทัศนคติด้านบวก คุณทำได้ทุกสิ่ง)

2. Look at the Core value of everything
    (ให้มองที่คุณค่าหลักของสิ่งนั้นๆ)

3. Look overall of Forest, Don't specific only the tree.
    (ให้มองแบบภาพรวมของกระบวนการทั้งหมด)

4. More Listen the problem, Less speak the opinion
    (ฟังเนื้อปัญหาให้มากขึ้น ลดการแสดงความคิดเห็นลง)

5. Use "Why question" to find the route cause. [Toyota way's technique]
    (ให้ถามว่า "ทำไม" เพื่อหาต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหา)

6.  Change the "Tag" of them
    (เปลี่ยนป้าย tag ที่เราติดไว้กับสิ่งนั้นๆ)

7. Build your team and find your partner
    (สร้างทีม และหากัลยาณมิตร)

8. Steal the Experience and Knowledge from the other people
    (จงขโมยประสบการณ์และความรู้จากคนอื่นๆ)

9. Build your Identity and your Strength
    (สร้างอัตลักษณ์และจุดแข็งของคุณขึ้นมา)

10. Everything have own life-cycle, Let it be when it is going to be.
     (ทุกสิ่งมีช่วงเวลาของมัน ปล่อยให้มันเป็นไปเมื่อถึงเวลาของมัน)